พระไตรปิฏก ฉบับมจร. เล่มที่ 5 หน้าที่ 350
ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพรหมทัตกาสีราชทรงพาดพระเศียร บรรทมอยู่บนตักของทีฆาวุกุมารเพราะทรงเหน็ดเหนื่อยมา เพียงครู่เดียวก็บรรทม หลับสนิท
ขณะนั้น ทีฆาวุกุมารได้ทรงดำริดังนี้ว่า “พระเจ้าพรหมทัตกาสีราชนี้แลทรง ก่อสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่พวกเรามากมาย ทรงช่วงชิงกองทหาร พาหนะ ชนบท คลังอาวุธยุทโธปกรณ์และคลังพืชพันธุ์ธัญญาหารของพวกเราไป ได้ปลงพระชนม์ ชีพของพระชนกชนนีของเราอีก บัดนี้เป็นเวลาที่เราพบคู่เวร” จึงชักพระแสงขรรค์ ออกจากฝัก
ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น ทีฆาวุกุมารได้ทรงดำริดังนี้ว่า “พระชนกได้ตรัสสั่ง เราไว้เมื่อใกล้จะสวรรคตว่า ‘พ่อทีฆาวุ เจ้าอย่าเห็นแก่ยาว อย่าเห็นแก่สั้น เวรย่อม ไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่ระงับได้ด้วยการไม่จองเวร การที่เราจะละเมิดพระดำรัส สั่งของพระชนกนั้นไม่ควรเลย” จึงสอดพระแสงขรรค์กลับเข้าฝักตามเดิม
ภิกษุทั้งหลาย แม้ครั้งที่ ๒ ฯลฯ
แม้ครั้งที่ ๓ ทีฆาวุกุมารก็ทรงดำริดังนี้ว่า “พระเจ้าพรหมทัตกาสีราชนี้แลทรง ก่อสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่พวกเรามากมาย ทรงช่วงชิงกองทหาร พาหนะ ชนบท คลังอาวุธยุทโธปกรณ์และคลังพืชพันธุ์ธัญญาหารของพวกเราไป ได้ปลงพระชนม์ชีพ ของพระชนกชนนีของเราอีก บัดนี้เป็นเวลาที่เราพบคู่เวร” จึงชักพระแสงขรรค์ออก จากฝัก
ภิกษุทั้งหลาย แม้ครั้งที่ ๓ ทีฆาวุกุมารได้ทรงดำริดังนี้ว่า “พระชนกได้ตรัส สั่งเราไว้เมื่อใกล้จะสวรรคตว่า ‘พ่อทีฆาวุ เจ้าอย่าเห็นแก่ยาว อย่าเห็นแก่สั้น เวร ย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่ระงับได้ด้วยการไม่จองเวร การที่เราจะละเมิดพระ ดำรัสสั่งของพระชนกนั้นไม่ควรเลย” จึงสอดพระแสงขรรค์กลับเข้าฝักตามเดิม
ภิกษุทั้งหลาย พอดีกับที่พระเจ้าพรหมทัตทรงสะดุ้งพระทัย หวาดหวั่น รีบ เสด็จลุกขึ้น