พระไตรปิฏกฉบับมจร. เล่มที่ 11
<< | หน้าที่ 9 | >>
โกรักขัตติยะได้ตายด้วยโรคอลสกะ แล้วไปเกิดในหมู่อสูรชื่อกาลกัญชิกา ซึ่งต่ำต้อย กว่าหมู่อสูรทุกประเภท และคนนำศพนั้นไปทิ้งที่ป่าช้าชื่อวีรณัตถัมภกะ
[๙] ภัคควะ สุนักขัตตะ ลิจฉวีบุตร ได้ฟังข่าวว่า ‘นักบวชเปลือยโกรักขัตติยะ ตายด้วยโรคอลสกะ ถูกเขานำไปทิ้งไว้ที่ป่าช้าชื่อวีรณัตถัมภกะ’ จึงเข้าไปหาศพนัก บวชเปลือยโกรักขัตติยะถึงป่าช้าชื่อวีรณัตถัมภกะแล้ว ใช้มือตบศพนักบวชเปลือย โกรักขัตติยะ ๓ ครั้ง ถามว่า ‘ท่านโกรักขัตติยะ ท่านทราบคติของท่านหรือ’ ขณะนั้น ศพนักบวชเปลือยโกรักขัตติยะลุกขึ้นยืน เอามือลูบหลัง(ของเขา)แล้วตอบว่า ‘ท่านสุนักขัตตะ เราทราบคติของเรา เราไปเกิดในหมู่อสูรชื่อกาลกัญชิกา ซึ่งต่ำต้อย กว่าหมู่อสูรทุกประเภท’ แล้วล้มลงนอนหงายอยู่ ณ ที่นั้นเอง
[๑๐] ภัคควะ ครั้งนั้น สุนักขัตตะ ลิจฉวีบุตร เข้าไปหาเราถึงที่อยู่ ไหว้เรา แล้วนั่ง ณ ที่สมควร เราได้กล่าวกับสุนักขัตตะ ลิจฉวีบุตร ดังนี้ว่า ‘สุนักขัตตะ เธอเข้าใจเรื่องนั้นว่าอย่างไร เราปรารภนักบวชเปลือยโกรักขัตติยะแล้วพยากรณ์แก่เธอ ไว้อย่างไร ผลของการพยากรณ์เป็นอย่างนั้นหรือ หรือว่าเป็นอย่างอื่น’
สุนักขัตตะ ลิจฉวีบุตร ตอบว่า ‘ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคทรง ปรารภนักบวชเปลือยโกรักขัตติยะแล้วพยากรณ์แก่ข้าพระองค์ไว้อย่างไร ผลของการ พยากรณ์เป็นอย่างนั้น๑ มิได้เป็นอย่างอื่นเลย’
‘สุนักขัตตะ เธอเข้าใจเรื่องนั้นว่าอย่างไร เมื่อเป็นเช่นนั้น เราได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ อันเหนือธรรมดาของมนุษย์ หรือยังไม่ได้แสดง’
‘ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนี้ พระองค์ทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์อัน เหนือธรรมดาของมนุษย์แล้วแน่นอน มิใช่ไม่ได้ทรงแสดง’