พระไตรปิฏกฉบับมจร. เล่มที่ 11
<< | หน้าที่ 402 | >>
๖. เป็นผู้มีฉันทะอย่างแรงกล้าในสติปัญญาเครื่องรักษาตน และ ไม่ปราศจากความรักในสติปัญญาเครื่องรักษาตนต่อไป
๗. เป็นผู้มีฉันทะอย่างแรงกล้าในการแทงตลอดทิฏฐิ และไม่ ปราศจากความรักในการแทงตลอดทิฏฐิต่อไป
นี้ คือธรรม ๗ ประการที่ควรรู้ยิ่ง
{๔๔๒}(ญ) ธรรม ๗ ประการที่ควรทำให้แจ้ง คืออะไร
คือ กำลังของพระขีณาสพ ๗ ได้แก่
๑. สังขารทั้งปวงเป็นธรรมที่ภิกษุขีณาสพในพระธรรมวินัยนี้เห็น ว่าเป็นสภาวะไม่เที่ยงด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริง ข้อที่สังขารทั้งปวงเป็นธรรมที่ภิกษุขีณาสพเห็นว่าเป็นสภาวะ ไม่เที่ยงด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริง นี้เป็นกำลังของ ภิกษุขีณาสพที่ภิกษุขีณาสพอาศัยปฏิญญาความสิ้นอาสวะ ทั้งหลายว่า “อาสวะของเราสิ้นแล้ว”
๒. กามทั้งหลายเป็นธรรมที่ภิกษุขีณาสพเห็นว่าเปรียบด้วยหลุม ถ่านเพลิงด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริง แม้ข้อที่กาม ทั้งหลายเป็นธรรมที่ภิกษุขีณาสพเห็นว่าเปรียบด้วยหลุมถ่าน เพลิงด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริง นี้ก็เป็นกำลังของ ภิกษุขีณาสพที่ภิกษุขีณาสพอาศัยปฏิญญาความสิ้นอาสวะ ทั้งหลายว่า “อาสวะของเราสิ้นแล้ว”
๓. จิตของภิกษุขีณาสพเป็นธรรมชาติน้อมไปในวิเวก โน้มไปใน วิเวก โอนไปในวิเวก ตั้งอยู่ในวิเวก ยินดียิ่งในเนกขัมมะ ปราศจากเงื่อนธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะโดยประการทั้งปวง แม้ข้อที่จิตของภิกษุขีณาสพเป็นธรรมชาติน้อมไปในวิเวก โน้ม ไปในวิเวก โอนไปในวิเวก ตั้งอยู่ในวิเวก ยินดียิ่งในเนกขัมมะ ปราศจากเงื่อนธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะโดยประการทั้งปวง นี้ก็เป็นกำลังของภิกษุขีณาสพที่ภิกษุขีณาสพอาศัยปฏิญญา ความสิ้นอาสวะทั้งหลายว่า “อาสวะของเราสิ้นแล้ว”