พระไตรปิฏกฉบับมจร. เล่มที่ 13
<< | หน้าที่ 590 | >>
“วาจาที่พราหมณ์เหล่านั้นรู้แล้วกล่าว ประเสริฐกว่า ท่านพระโคดม”
“วาจาที่พราหมณมหาศาลเหล่านั้นพิจารณาแล้วกล่าว หรือไม่พิจารณา แล้วกล่าว อย่างไหนประเสริฐกว่ากัน”
“วาจาที่พราหมณ์เหล่านั้นพิจารณาแล้วกล่าว ประเสริฐกว่า ท่านพระโคดม”
“วาจาที่มีประโยชน์ หรือวาจาที่ไม่มีประโยชน์ซึ่งพราหมณมหาศาลเหล่านั้นกล่าว อย่างไหนประเสริฐกว่ากัน”
“วาจาที่มีประโยชน์ ประเสริฐกว่า ท่านพระโคดม”
{๗๒๑} “ท่านเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร ถ้าเมื่อเป็นเช่นนั้น โปกขรสาติพราหมณ์ โอปมัญญโคตร ผู้เป็นใหญ่ในป่าชื่อสุภควัน กล่าววาจาตรงตามโวหารของชาวโลก หรือไม่”
“ไม่ตรงตามโวหารของชาวโลก ท่านพระโคดม”
“เป็นวาจาที่รู้แล้วกล่าว หรือไม่รู้แล้วกล่าว”
“เป็นวาจาที่ไม่รู้แล้วกล่าว ท่านพระโคดม”
“เป็นวาจาที่พิจารณาแล้วกล่าวหรือไม่พิจารณาแล้วกล่าว”
“เป็นวาจาที่ไม่พิจารณาแล้วกล่าว ท่านพระโคดม”
“เป็นวาจาที่มีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์”
“เป็นวาจาที่ไม่มีประโยชน์ ท่านพระโคดม”
{๗๒๒} พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “มาณพ นิวรณ์นี้มี ๕ ประการ
นิวรณ์ ๕ ประการ อะไรบ้าง คือ
๑. กามฉันทนิวรณ์ (สิ่งที่กั้นจิตคือความพอใจในกาม)
๒. พยาบาทนิวรณ์ (สิ่งที่กั้นจิตคือความขัดเคืองใจ)
๓. ถีนมิทธนิวรณ์ (สิ่งที่กั้นจิตคือความหดหู่และเซื่องซึม)
๔. อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ (สิ่งที่กั้นจิตคือความฟุ้งซ่านและร้อนใจ)
๕. วิจิกิจฉานิวรณ์ (สิ่งที่กั้นจิตคือความลังเลสงสัย)
นิวรณ์ ๕ ประการนี้แล