หน้าหลัก พระไตรปิฏก AI ธรรมะ E-Book ฐานข้อมูลวัด ติดต่อเรา
พุทธบริษัท
พระไตรปิฏกฉบับมหาจุฬาราชวิทยาลัย เล่มที่ 14 หน้าที่ 479 | Buddhaparisa.org
หน้าหลัก / พระสุตตันตปิฏก
พระไตรปิฏกฉบับมจร. เล่มที่ 14
<< | หน้าที่ 479 | >>
คำที่เรากล่าวไว้ว่า ‘พึงทราบหมวดเวทนา ๖’ นั่น เพราะอาศัยเหตุนี้ เรา จึงกล่าวไว้เช่นนั้น

นี้เป็นหมวดธรรม ๖ หมวดที่ ๕ (๕)

{๘๑๗}เรากล่าวคำนี้ไว้ว่า ‘พึงทราบหมวดตัณหา ๖’ เพราะอาศัยเหตุอะไร เราจึง กล่าวไว้เช่นนั้น คือ

๑. เพราะอาศัยจักขุและรูป จักขุวิญญาณจึงเกิด ความประจวบแห่ง ธรรม ๓ เป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงเกิด เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหา จึงเกิด

๒. เพราะอาศัยโสตะและเสียง โสตวิญญาณจึงเกิด ...

๓. เพราะอาศัยฆานะและกลิ่น ฆานวิญญาณจึงเกิด ...

๔. เพราะอาศัยชิวหาและรส ชิวหาวิญญาณจึงเกิด ...

๕. เพราะอาศัยกายและโผฏฐัพพะ กายวิญญาณจึงเกิด ...

๖. เพราะอาศัยมโนและธรรมารมณ์ มโนวิญญาณจึงเกิด ความ ประจวบแห่งธรรม ๓ เป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนา จึงเกิด เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงเกิด

คำที่เรากล่าวไว้ว่า ‘พึงทราบหมวดตัณหา ๖’ นั่น เพราะอาศัยเหตุนี้ เรา จึงกล่าวไว้เช่นนั้น

นี้เป็นหมวดธรรม ๖ หมวดที่ ๖ (๖)

{๘๑๘} [๔๒๒] ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ‘จักขุเป็นอัตตา’ คำของผู้นั้นไม่ถูกต้อง จักขุ ย่อมปรากฏทั้งความเกิดขึ้นและความเสื่อมไป ก็สิ่งใดปรากฏทั้งความเกิดขึ้นและ ความเสื่อมไป สิ่งนั้นต้องกล่าวได้ดังนี้ว่า ‘อัตตาของเราย่อมเกิดขึ้นและเสื่อมไป’ เพราะฉะนั้น คำของผู้ที่กล่าวว่า ‘จักขุเป็นอัตตา’ นั้นจึงไม่ถูกต้อง จักขุเป็นอนัตตา ด้วยอาการอย่างนี้

๑ ตัณหา ในที่นี้หมายถึงตัณหาที่เกิดขึ้นในขณะแห่งชวนะที่มีวิบากเวทนาเป็นปัจจัย (ม.อุ.อ. ๓/๔๒๐/๒๕๐)

สารบัญ พระไตรปิฏก

พระไตรปิฏก
พระไตรปิฏก
พระวินัยปิฏก
พระวินัย
พระสุตตันตปิฏก
พระสูตร
พระอภิธรรมปิฏก
พระอภิธรรม