หน้าหลัก ฐานข้อมูลวัด E-Book บาลีไวยากรณ์ พระไตรปิฏก ติดต่อเรา
พุทธบริษัท
พระไตรปิฏกฉบับมหาจุฬาราชวิทยาลัย เล่มที่ 33 หน้าที่ 769 | Buddhaparisa.org

หน้าหลัก / พระไตรปิฏก / พระอภิธรรมปิฏก

พระไตรปิฏก ฉบับมจร. เล่มที่ 33 หน้าที่ 769

[๘๔] ทีนั้น นกกา นกแร้ง นกกระสา นกตะกรุม และเหยี่ยว

มาคอยจับปลากินทั้งกลางวันและกลางคืน

[๘๕] ครั้งนั้น เรากับหมู่ญาติถูกเบียดเบียนจึงคิดอย่างนี้ว่า

โดยอุบายอะไรหนอ หมู่ญาติจะพึงพ้นทุกข์ได้

[๘๖] เราคิดถึงเหตุและผลแล้ว

ได้เห็นสัจจะว่าเป็นที่พึ่งได้

จึงตั้งอยู่ในความสัตย์แล้ว

เปลื้องความพินาศใหญ่ของหมู่ญาตินั้นได้

[๘๗] เราระลึกธรรมของสัตบุรุษ คิดถึงปรมัตถธรรม

ได้กระทำสัจจกิริยา

ซึ่งเป็นธรรมอันยั่งยืนเที่ยงแท้ในโลก

[๘๘] ตั้งแต่เราจำความได้ ตั้งแต่เรารู้เดียงสาได้มาจนถึงบัดนี้

เราไม่รู้สึกว่าจงใจเบียดเบียนสัตว์แม้ตัวหนึ่งเลย

[๘๙] ด้วยสัจจวาจานี้ ขอเมฆจงทำฝนห่าใหญ่ให้ตก

แน่ะเมฆ ท่านจงคำราม

จงทำขุมทรัพย์ของกาให้พินาศไป

ท่านจงทำกาให้ตรอมตรมด้วยความโศก

จงปลดเปลื้องฝูงปลาจากความโศก

[๙๐] พร้อมกับเมื่อเราทำสัจจะอันประเสริฐ

เมฆส่งเสียงสนั่นครั่นครืน ทำฝนให้ตก

ครู่เดียว ก็เต็มเปี่ยมทั้งที่ดอนและที่ลุ่ม

[๙๑] ครั้นเราทำสัจจะอันประเสริฐเห็นปานนี้

อันเป็นความเพียรอันสูงสุด อาศัยกำลังเดชความสัตย์

บรรดาลฝนห่าใหญ่ให้ตก บุคคลมีสัจจะเสมอเราไม่มี

นี้เป็นสัจจบารมีของเรา ฉะนี้แล

มัจฉราชจริยาที่ ๑๐ จบ



สารบัญ พระไตรปิฏก

พระไตรปิฏก
บาลีไวยากรณ์
พระวินัยปิฏก
E-Book บาลี
พระสุตตันตปิฏก
ข้อสอบบาลี
พระอภิธรรมปิฏก
ข้อสอบบาลี